ความเดิมตอนที่แล้ว* หลังจากบินข้ามแปซิฟิกกว่า 15 ชั่วโมง นั่งเรือเฟอรี่ข้าม Dampier Strait อีกสองชั่วโมง เราก็มาถึง Waisai เมืองท่าเข้าอุทยาน Raja Ampat ขณะที่กำลังจะลงทะเบียนเข้าอุทยาน ผมเพิ่งรู้ตัวว่าทำพาสปอร์ตหาย ซ้ำร้ายเด็กเรือของ homestay แรกที่เราไปพักดันทำอุปกรณ์ snorkeling ของเราหายไปด้วย ด้วยความเหนื่อยและความทุระกันดารของสถานที่ มันจึงเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดของเราสองคน แต่สัมผัสแรกที่ได้เห็นปะการังของ Raja Ampat ทำให้ความซวยต่างๆเหล่านั้น ดูคุ้มค่าขึ้นมาทันตา
อ่านฉบับเต็ม EP1 ได้ที่ https://coralust.wordpress.com/2016/02/01/ราจาอัมปัต-ที่สุดในโลก-ep1/
(19/12/15)
เราว่ายน้ำ snorkeling สำรวจปะการังตลอดความยาวหน้าหาดหลายร้อยเมตรของ Yenaduak homstay แล้วก็มาชะงักอยู่ที่แหลมที่ขอบปลายด้านใต้สุดของหาด ภรรยาผมตัดสินใจขึ้นจากน้ำก่อน ส่วนผมวกกลับ ตีน้ำกลับไปทางตอนเหนือ ก็ได้เจอฝูงปลาขนาดเล็กไม่ทราบชนิดสะท้อนแสงจนเกล็ดสีเงินเปล่งสีสลับรุ้งระยิบระยับ ไม่ทันรู้ตัวผมก็อยู่ในจุดที่กระแสน้ำเปลี่ยน น้ำตื้นและมีแนวปะการังกีดกันทำให้ว่ายน้ำเข้าฝั่งอย่างทุลักทุเล กระเสือกกระสนกลับเข้าฝั่งจนสำเร็จ แต่ก็เล่นเอาซะหอบ เป็นอันว่าเสร็จภารกิจสำรวจปะการังหน้าหาดของ Yenaduak
อาจจะเพราะน้ำในตอนเย็นค่อนข้างขุ่นและมืด ผมจึงยังไม่ค่อยพอใจกับภาพที่ได้นัก แต่ก็ต้องยอมรับว่า ถ้าไม่มาอินโดนีเซียก็คงไม่มีวันได้เห็นปะการังแบบนี้ ผมคิดว่าคงเป็นเหมือนกับไทยเมื่อร้อยปีที่แล้ว สมัยที่ยังไม่มีประมงแบบทำลายล้าง ส่วนภรรยาผม เธอชอบมาก บอกว่าแต่ก่อนเคยคิดว่าทะเลสวยคือทะเลใสทรายขาว ถ้าไม่มาคงไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ทะเล”
ผมขึ้นจากน้ำแล้วก็ชวนภรรยาเดินเลียบหาดลงไปทางใต้อีกครั้ง จนมาหยุดที่กองหินปลายแหลมกองเดิมซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของหาด ต้องรอน้ำลดจึงจะสามารถเดินไต่ตามขอบหินไปทางด้านตะวันตกสู่อีกหาดได้ ทิศทางทีมองไปจากกองหินตรงนี้เป็นเขาที่มีป่าเขียวชอุ่มกั้นด้วยอ่าวสีมรกตดูลึกลับน่าค้นหามาก ผมรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่าง บางอย่างมันบอกผมว่าในอ่าวนี้ จากกองหินปลายแหลมที่คลื่นจากฝั่งตะวันออกซัดเข้ามา จะต้องมีอะไรดีๆให้ผมดู พรุ่งนี้เช้าตรู่ผมจะกลับมาอีกครั้ง ต้องมีอะไรเจ๋งๆแน่ๆ!
เรากลับไปอาบน้ำในห้องน้ำมืดๆในบังกะโลส่วนตัวของเรา ผมเปลี่ยนชุดเป็นผ้าโสร่งและเสื้อยืดสบายๆ ส่วนภรรยาก็ใส่เดรสชุดนอนลายบาติกสีน้ำเงิน ไปถ่ายรูปเล่นกัน ธรรมชาติที่เกาะ Birie ยามเย็นนั้นเหมือนเป็นสวรรค์จริงๆ แสงเย็นส่องข้ามเขาทางด้านหลังกระทบกับป่าทางด้านตรงกันข้าม ขั้นด้วยคลื่นทะเลที่กำลังสะท้อนแสงในอ่าว คลื่นช่วงน้ำลดซัดเบาๆเลียบหาดที่ไม่มีรอยเท้านอกจากสี่เท้าของแขกสองคน ขอนไม้ยืนต้นขนาดยักษ์ริมหาดก็ดูเหมือนโครงกระดูกช้างแมมมอธโบราณ ผมเดินเข้าไปในป่าติดหาด เด็ดมะม่วงเบาสี่ห้าลูกสำหรับกลับไปทานที่บังกะโล กำลังต้องการวิตามินซีเพราะเป็นหวัดอยู่พอดีเชียว เราเดินไปซักพักก็ได้ยินเสียง “แกว๊ก แกว๊ก” เมื่อมองขึ้นไปก็ต้องตะลึง “ฝูงนกแก้ว!” ผมอุทาน “สีอะไร?” ภรรยาถาม “ไม่แน่ใจนะ มันย้อนแสง แต่รู้สึกว่าตัวสีเขียว ปีกมีสีแดง สวยมากๆ”
ตอนนี้เรารู้ตัวแล้ว ว่าเรามาอยู่ป่าจริงๆ ป่าแท้ๆ ป่าที่มนุษย์ยังไม่ได้มาบุกรุก ป่าดงดิบ ป่าทั้งในน้ำ บนบก และบนฟ้า
พอเราเดินไปเกือบถึงปลายหาด ก็มีเสียงทรายและใบไม้จากในป่ากระเจิงมาจากฝีเท้าสัตว์สองตัว ไล่กันมาทางด้านหลัง “ไก่ป่า!” พวกมันวิ่งไล่กันออกมาที่หาด พอออกมาแล้วเห็นมนุษย์ก็แทบเบรกดังเอี๊ยดดดด หันหลังกลับกันแทบไม่ทัน ตลกมาก เราเดินไต่หินต่อไปทางในอ่าว ก็ยิ่งพบกับนกแก้วหลายชนิด มีตัวหนึ่งตัวใหญ่สีขาวมีหงอน น่าจะเป็น Yellow Crested Cockatoo เป็นครั้งแรกที่เห็นนกพวกนี้ในธรรมชาติ เมื่อเดินต่อไปในอ่าวนิรนาม จะเห็นป่าโกงกาง น้ำนิ่งๆ ได้ยินเสียงผิวน้ำแตกเป็นๆระยะๆจากปลานักล่าที่ล่าปลาตัวเล็กๆ เราเดินกันจนเบื่อแล้วจึงตัดสินใจกลับ
Yenaduak homestay เป็นโฮมสเตย์ที่สงบและบริสุทธ็์มาก แต่อาหารที่เสิร์ฟค่อนข้างจะเบสิคไปหน่อย มื้อเย็นวันนี้มีเมนูผัดผักกับแกงปลาเหมือนแกงเหลืองจืดๆและข้าว ไม่ทำให้เจริญอาหารมากนัก แต่สามารถเข้าใจได้ว่าทางโฮมสเตย์เพิ่งเปิดใหม่แห่งนี้ยังต้องตั้งตัว และเรียนรู้การทำธุรกิจอีกมาก เอาเป็นว่ามือนี้ “กินเพื่ออยู่” แล้วก็อดทนนอนกับกองทัพยุงกันอีกสองคืน
(20/12/15)
วันนี้ผมตื่นแต่เช้า รีบเดินบึ่งไปที่กองหินเมื่อวานอีกครั้งเพื่อเริ่มการสำรวจปะการังในอ่าวนิรนามก่อนแสงจะแข็งเกินไป ในใจลึกๆผมหวังว่าจะได้เห็นพะยูน เพราะแถบนี้มีหญ้าทะเลเยอะ และช่วงเช้าคลื่นนิ่งน้ำใสคงจะได้ภาพงามๆแน่นอน จุดเริ่มต้นของการสำรวจอยู่ที่ด้านใต้ของกองหิน ผมเดินลงไปในน้ำตื้น นั่งลงในน้ำครึ่งตัว ใส่ตีนกบและหน้ากาก นั่งชื่นชมบรรยากาศรอบตัว สูดลมหายใจเตรียมใจกับสิ่งที่อาจจะเจอใต้น้ำ มันเป็นสองอารมณ์ ทั้งตื่นเต้น ทั้งหวาดหวั่น เรื่องตื่นเต้นคงไม่ต้องอธิบาย แต่ที่กลัวคือ ผมมาว่ายน้ำคนเดียวในที่ที่ไม่มีมนุษย์หรือพยานใดๆ ถ้าด้วยอุบัติเหตุประการใดเกิดขึ้น ก็จะไม่มีความช่วยเหลือแม้แต่นิดเดียว จมคือหายไปเลย น้ำนิ่งๆมันก็น่ากลัวอยู่นะ ก่อนมาก็ดูวิดีโอที่เขาถ่ายจระเข้น้ำเค็มแถวๆ Batanta ซะด้วย บรึ๋ยยยยย
ในที่สุดผมก็กลั้นใจ เอาหน้าจุ่มน้ำ แล้วรุ่งอรุณแห่งสุนทรียะ ที่ผมจะจำไปตลอดชีวิตก็เริ่มต้นขึ้น…
วินาทีแรกที่มองลงไปก็จะเจอกับหญ้าทะเลสีเขียวสดที่มีความโปร่งแสงจนดูเรืองแสง ยิ่งว่ายออกไปนอกแหลมก็จะค่อยๆเจอปะการังที่หลากหลาย สัตว์น้ำแปลกๆเช่น ปลาดาวตัวใหญ่สีแดงสดตัดกับพื้นทรายขาวละเอียด ปะการังเริ่มแน่นและหลากหลายขึ้นเรื่อยๆ แล้วพอว่ายออกมาถึงขอบเหวปะการัง ก็จะมีกำแพงปะการังเขากวางขนาดยักษ์ แน่นหนาไม่มีที่ว่าง คงเป็นแนวปะการังที่มีอายุเป็นร้อยๆปี ปลาเล็กใหญ่นับร้อยพันเต้นไปตามจังหวะของพวกมัน มองลงไปเป็นสีครามมืดไม่เห็นว่าสิ้นสุดที่ตรงไหน แสงตอนเช้าทำมุมเฉียงเกือบขนานกับพื้นน้ำ ทำให้รังสีสะท้อนจากปะการังด้านล่างเด้งไปมาสีสันฉูดฉาดทั้งบนและล่าง คลื่นกระพือเบาๆดูเหมือนกับกำลังแหวกไปบนผ้าไหมนุ่มสีสดใส ทุกสิ่งรอบตัวแม้นิ่งเงียบ แต่กลับรู้สึกเหมือนกำลังเสพอาหารรสเลิศในภัตตาคารมิชิลินสามดาว ที่ full course แต่ละเมนูสอดประสานรสชาติให้กันอย่างสมดุล เหมือนวงออเครสต้าที่ทำหน้าที่อย่างพร้อมเพรียงเพื่อความสุนทรีย์ของผู้ชม แต่วันนี้ ผมเป็นเหมือนแขก VIP ที่สถานที่แห่งนี้กำลังบรรเลงเพลงสวรรค์ให้ผมเพียงผู้เดียว มันมหัศจรรย์มากจริงๆ ผมคิดว่า ภาพถ่ายในกระทู้นี้ คงเป็นตัาแทนของภาพความสุนทรีย์ในเช้าวันนี้ได้ดีที่สุด เรามาดู Morning Orchesta ไปพร้อมๆกันดีกว่าครับ! แล้วเจอกันใหม่ใน EP3 ครับ!